วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
บทที่ 7 การจัดการข้อมูล
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ระบบปฏิบัติการ
ตอบ FPP สามารถย้ายจากเครืองเก่าไปเครื่องใหม่ได้OEM ไม่สามารถย้ายไปเครื่องใหม่ได้
ซื้อแบบ FPP เพราะ ถ้าเครื่องเก่าเสียหายหรือพังก็สามารถย้ายข้อมูลใส่เครื่องอื่นได้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ซอฟต์แวร์
๑. บอกความหมายและประเภทของซอฟแวร์ได้
ตอบ ความหมายของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ (software) หรือ ส่วนชุดคำสั่ง และยังมีการสะกด ซอฟต์แวร์ เป็นส่วนของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ซอฟต์แวร์นั้น นอกจากจะสามารถใช้งานบนคอมพิวเตอร์ได้แล้ว ยังสามารถใช้งานบนเครื่องใช้ หรืออุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือ หุ่นยนต์ในโรงงาน หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
คำว่า "ซอฟต์แวร์" ใช้ครั้งแรกโดย จอห์น ดับเบิลยู. เทอร์กีย์ (John W. Turkey) ในปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) โดยแนวคิดของซอฟต์แวร์ปรากฏ ครั้งแรกในเรียงความของแอลัน ทัวริง
ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึง ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วย คำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร
์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกัน ได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์ จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (computer program) คือ กลุ่มชุดคำสั่งที่ใช้อธิบายชิ้นงาน หรือกลุ่มงานที่จะประมวลผลโดย คอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจหมายถึง ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรม
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่นั้นเป็นชุดคำสั่งที่ออกแบบตามอัลกอริทึม โดยปกติแล้วเขียนโดยโปรแกรมเมอร์ หรือไม่ก็สร้างโดยโปรแกรมอื่น
การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ ( http://www.software.co.th/what-is-software.asp )
๒.อธิบายภาษาคอมพิวเตอร์ได้
ตอบ
ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคาสั่งที่โปรแกรมเมอร์เขียนเพื่อใช้สั่งงานตามรูปแบบและโครงสร้างของภาษาซึ่งแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้คือ
1. ภาษาระดับต่า (Low Level Language) เป็นภาษาที่มนุษย์ทาความเข้าใจได้ยาก
ส่วนใหญ่ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดแวร์เป็นอย่างดีจึงจะสามารถเขียนโปรแกรมสั่งงานได้มีข้อดีในส่วนที่เขียนโปรแกรมควบคุมอาร์ดาแวร์แต่ละส่วนได้โดยตรงจึงทางานได้เร็ว แต่ไม่เหมาะที่จะใช้ในการพัฒนาโปรแกรม ตัวอย่างของภาษาระดับต่าได้แก่ ภาษาเครื่อง (Machine Language) และภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) เป็นต้น
2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language) เป็นภาษาที่ทาความเข้าใจได้ไม่ยากนัก
เพราะมีลักษณะ เป็นภาษาแบบโครงสร้าง ทาความเข้าใจได้เหมือนกับภาษาระดับสูงแต่ทางานได้รวดเร็วเหมือนกับภาษาระดับต่า สามารถใช้บนเครื่องที่มีความเร็วต่างกันโดยไม่ต้องดัดแปลง ภาษาระดับกลางจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ตัวอย่างของภาษาระดับกลาง ได้แก่ ภาษาซี เป็นต้น
3. ภาษาระดับสูง (High Level Language) เป็นภาษาที่ทาความเข้าใจได้ง่าย มีลักษณะของ การใช้คาสั่งเป็นภาษาอังกฤษซึ่งใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทางานจะต้องมีการแปลความหมายของคาสั่งโดยใช้ตัวแปลภาษาทีละชุดคาสั่งที่เรียกว่า Interpreter หรือแปลครั้งเดียวทั้งโปรแกรมที่เรียกว่า Compilerมา
ภาษาซี (C Programming Language) ถูกพัฒนาขึ้นมาในปี ค.ศ. 1970 โดย Dennis Ritchie แห่ง Bell Laboratories และได้ถูกใช้งานแต่ในห้องปฏิบัติการของ Bell จนกระทั่งปี 1978 นั้น Brian Kerninghan กับ Dennis Ritchie สองคู่หูขาโจ๋ จึงได้ออกหนังสือ กาหนดมาตรฐานของภาษาซี ข้อกาหนดนี้คนมักเรียกขานกันว่า K&R C มาจาก (http://202.57.149.58/~der/elerning/HistoryC.pdf)
๓.อธิบายรูปแบบของตัวแปลภาษาได้
ตอบ ตัวแปลภาษา
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูง เพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีหลายภาษา ภาษาระดับสูงเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ ตลอดจนถึงสามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้
ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นมาทุกภาษาจะต้องมีตัวแปลภาษาสำหรับแปลภาษา ภาษาระดับสูงซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมกันมากในปัจจุบัน เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาเบสิก ภาษาซี และภาษาโลโก
1) ภาษาปาสคาล เป็นภาษาสั่งงานคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เขียนสั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นกระบวนความ ผู้เขียนสามารถแบ่งแยกงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วมารวมกันเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่ได้
2) ภาษาเบสิก เป็นภาษาที่มีรูปแบบคำสั่งไม่ยุ่งยาก สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย มีรูปแบบคำสั่งพื้นฐานที่สามารถนำมาเขียนเรียงต่อกันเป็นโปรแกรมได้
3) ภาษาซี เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์อื่น ๆ ภาษาซีเป็นภาษาที่มีโครงสร้างคล่องตัวสำหรับการเขียนโปรแกรมหรือให้คอมพิวเตอร์ติดต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ
4) ภาษาโลโก เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับการเรียนรู้และเข้าใจหลักการโปรแกรมภาษาโลโกได้รับการพัฒนาสำหรับเด็ก
นอกจากภาษาที่กล่าวถึงแล้ว ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมากมายหลายภาษา เช่น ภาษาฟอร์แทรน ภาษาโคบอล ภาษาอาร์พีจี มาจาก(http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/software/software/index.html)
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
๑.ให้นักเรียนหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต โดยหาความหมายของคำว่า"Open Source" และบอกซอฟต์แวร์โอเพนซอฟต์ที่รู้จักในปัจจุบันมา ๓ ชนิด
ตอบ ซอฟต์แวร์ Open Source ต่างกับซอฟต์แวร์อื่นอย่างไร? * โดยทั่วไปรูปแบบของไลเซนต์ และการแจกจ่ายซอฟต์แวร์มีหลายรูปแบบ โดยสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ 2 ด้าน คือ
1. การให้พร้อมซอร์สโค้ด
2. การคิดค่าใช้จ่าย * ซอร์สโค้ด หมายถึง รหัสซอฟต์แวร์ต้นฉบับที่เขียนโดยภาษาระดับสูง ซึ่งแตกต่างจากไบนารีโค้ด เพราะซอฟต์แวร์ Open Source เปิดเผยโครงสร้าง และลอจิกของโปรแกรม * ซอฟต์แวร์ที่ให้เฉพาะไบนารีโค้ดอย่างเดียว เรียกว่า ซอฟต์แวร์ปิด (closed source) ไลเซนต์ Open Source ต่างกับไลเซนต์อื่นอย่างไร?คำว่า "Open Source" หรือ "Free Software" ไม่เพียงพอสำหรับอธิบายไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ โดยทั่วไปส่วนที่สำคัญของลิขสิทธิ์ (Copyright) จะอธิบายเกี่ยวกับสิทธิ์ในการทำสำเนา การแจกจ่าย และการดัดแปลงสำหรับไลเซนต์ของโอเพ่นซอร์สจะเน้นใน 2 ประเด็น คือ
1. การยกเลิกค่าไลเซนต์ซอฟต์แวร์
2. การให้ซอร์สโค้ดมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ * สิ่งที่ทำให้ไลเซนต์ของโอเพ่นซอร์สแตกต่างจากไลเซนต์อื่นๆ ก็คือ หลักการของ "Copyleft" โดย Copyleft จะมีข้อจำกัดอยู่ว่า ถ้ามีการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มเติมจากต้นฉบับ แล้วซอฟต์แวร์ตัวใหม่ต้องใช้ไลเซนต์เดียวกับต้นฉบับด้วย * ไลเซนต์ Copyleft ที่สำคัญของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ก็คือ GPL Public Domain การกำหนดไลเซนต์เป็น "Public Domain" หมายถึง การยกเลิกลิขสิทธิ์ หรือ "Copyright" o นิยามของ Public Domain อาจจะใช้ได้กับบางประเทศ เช่น อเมริกา แต่สำหรับบางประเทศเช่น เยอรมันจะใช้ไม่ได้ เพราะว่าจะไปขัดกับ German right o ในอเมริกาส่วนใหญ่จะใช้ไลเซนต์นี้กับซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยสถาบันการศึกษา หรือสถาบันวิจัย ซึ่งส่วนใหญ่ทางรัฐบาลจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน ผู้ใช้ในอเมริกาจะสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ และอนุญาตให้นำไปทำเป็น Commercial Domain ได้ด้วย Shareware จุดมุ่งหมายของ Shareware ก็คือ ความพยายามที่จะให้มีการนำเอาซอฟต์แวร์ไปใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ Shareware จะให้เฉพาะไบนารีโค้ด และให้ใช้ซอฟต์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อหมดเวลาทดลองใช้แล้ว ถ้าต้องการใช้ต่อก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย Freeware เป็นไลเซนต์ที่ให้เฉพาะไบนารีโค้ดโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมในการใช้งาน และเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้เฉพาะส่วนตัว หรือที่ไม่ใช้ในทางธุรกิจ ส่วนใหญ่บริษัทจะใช้ Freeware ในการโปรโมทผลิตภัณฑ์รอบๆ ข้าง เช่น ไมโครซอฟต์มี Internet Exploror เป็น Freeware เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการครองตลาด เป็นต้น ตัวอย่าง Freeware ที่ Open Directory Project GNU Public License (GPL) ผู้คิดค้นไลเซนต์ GPL คือ Richard Stallman ซึ่งอธิบายปรัญญาใน Free Software Foundation ไว้ว่า GPL ไม่มีข้อจำกัดในการทำสำเนา และการแจกจ่าย ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สส่วนใหญ่จะใช้ไลเซนต์แบบ GPL ที่เด่นๆ ก็คือ ซอฟต์แวร์ในโครงการ GNU และระบบปฏิบัติการ Linux o ผู้ใช้จะต้องสามารถเข้าถึงซอร์สโค้ดได้ง่าย ตัวไลเซนต์เองต้องนำไปใส่ไว้ในโปรแกรมด้วย o จะต้องแสดงไลเซนต์ซอฟต์แวร์ขึ้นมาเมื่อเริ่มโปรแกรม o จะอนุญาตให้แก้ไขซอฟต์แวร์ได้ ก็ต่อเมื่อมีการระบุว่าใครได้แก้ไขอะไร เมื่อไร o อนุญาตให้สร้างโปรแกรมใหม่จากการแก้ไขซอฟต๋์แวร์ต้นฉบับ แต่มีเงื่อนไขว่าโปรแกรมจะต้องมีไลเซนต์แบบ GPL เท่านั้น ("Copyleft") o จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Viral" effect เพราะว่าซอฟต์แวร์ที่รวมเอาซอฟต์แวร์ที่มีไลเซนต์เข้าไว้ด้วยกันต้องอยู่ภายใต้ไลเซนต์ที่คล้ายกับ GPL ไปด้วย o ไลเซนต์แบบ "Copyleft" ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในทางธุรกิจ เพราะบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องเปิดเผยซอร์สโค้ดของตัวเองด้วย ถ้าใช้ซอฟต์แวร์บางส่วนที่เป็น GPLในการพัฒนาซอฟต์แวร์ GNU Lesser General Public License (LGPL) เนื่องจากไลเซนต์แบบ GPL ค่อนข้างมีข้อจำักัดในการนำไปใช้ในเชิงธุรกิจ องค์กรอิสระ Free Software Foundation (FSF) จึงได้พัฒนาไลเซนต์ LGPL * LGPL อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ธุรกิจสามารถใช้ซอฟต์แวร์ไลบรารี โดยไม่มีข้อจำกัดเหมือนไลเซนต์แบบ GPL ซอฟต์แวร์ตัวแรกที่ใช้ไลเซนต์ LGPL คือ GNU C Library มาจาก(http://www.susethailand.com/suseforum/index.php?topic=83.0)
๒.ให้นักเรียนค้นหาซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยคนไทย และบอกคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ดังกล่าว
ตอบ โปรแกรมบัญชี Software ERP MRP CRM SCM พัฒนาโดยคนไทย รองรับระบบธุรกิจทุกระดับ (ความสามารถไม่แพ้ SAP) Implement โดยทีมงานมืออาชีพ : Formula, Forma
เลือกใช้ โปรแกรมบัญชี : Formula, Software ERP : Formula ERP มั่นใจได้ว่า ท่านได้เลือก โปรแกรมบัญชี, Software ERP ที่ใช้ในองค์การได้อย่างถูกต้อง และคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน ธุรกิจท่าน สามารถเริ่มระบบงานได้อย่างรวดเร็วทันใจ และใช้งานได้อย่างราบรื่น เพราะ "ความสำเร็จของลูกค้า คือ ความสำเร็จของเรา"
* ตลอดระยะเวลา 15 กว่าปี โปรแกรมบัญชี Formula และโปรแกรม ERP ที่ชื่อ Forma ERP ได้ถูกพัฒนาโดยทีมงานโปรแกรมเมอร์คนไทย 100 %
* โปรแกรมบัญชี Formula และโปรแกรม Forma ERP ได้ติดตั้งให้กับลูกค้าแล้วมากมาย ทั้งธุรกิจขนาดเล็ก จนถึงขนาดใหญ่ สามารถรองรับระบบการทำงานของทั้งองค์กรได้อย่างสมบูรณ์
* ด้วยการ Implement ระบบ ERP ที่มีรูปแบบชัดเจน ถูกพิสูจน์ด้วยความสำเร็จของลูกค้าที่ได้รับบริการ การันตีคุณภาพโดยทีม Implementor รุ่นใหม่ ที่มีประสบการณ์ในการ Implement ระบบ ERP ไม่น้อยกว่า 5 ปี
Forma ERP เป็นระบบ ERP ประสิทธิภาพสูง ที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ตั้งแต่การ Online Post, Online Update และ Online Correction ระบบของโปรแกรม Forma ERP ประกอบไปด้วย
- ระบบซื้อ - ระบบขาย - ระบบลูกหนี้ - ระบบเจ้าหนี้ - ระบบสินค้าคงคลัง - ระบบบัญชีแยกประเภท - ระบบสินทรัพย์ถาวร - ระบบเช็ค และเงินฝากธนาคาร - ระบบงบประมาณ - ระบบ Costing - ระบบ Consolidate - ระบบสกุลเงินต่างประเทศ - ระบบภาษี - ระบบรักษาความปลอดภัย - ระบบบำรุงรักษาข้อมูล - ระบบ Customize เฉพาะลูกค้าแต่ละราย - ฯลฯ มาจาก (http://www.be2hand.com/scripts/view.php?prod_id=214242)
๓.ให้นักเรียนค้นหาข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธ์ซอฟต์แวร์ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน
ตอบ คู่มือการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมของซอฟต์แวร์แต่ละประเภท
1. โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการจำหน่าย (Commercial Software)
โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการจำหน่าย หมายถึง โปรแกรมที่ถูกออกแบบและพัฒนาเพื่อการขายในท้องตลาด
ในอดีตซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้นเนื่องจากมีผู้ผลิตซอฟต์แวร์ประเภทต่างๆ เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบ ใช้ได้เสรี (Freeware Software) โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาธารณะ (Public Domain Software) และโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบรหัสเปิด (Open-source Software) เป็นต้น
ลักษณะของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการจำหน่าย โดยส่วนใหญ่ มีดังนี้
- สามารถซื้อหาได้จากผู้แทนจำหน่าย ผู้ผลิต และร้านค้าซึ่งจำหน่ายซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ เป็นต้น
- เป็นซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์
- ผู้ซื้อควรอ่านสัญญาอนุญาตประเภทนี้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากโปรแกรมประเภทนี้ เจ้าของลิขสิทธิ์จะมีข้อสงวนสิทธิมากกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทอื่น
- ผู้ซื้อจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ให้ใช้ ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ซื้อจะได้รับสัญญาอนุญาตระบุเงื่อนไขการใช้ต่างๆ เมื่อผู้ซื้อได้ชำระค่าโปรแกรมฯ ทั้งนี้ผู้ซื้อต้องเข้าใจว่าสัญญาอนุญาตเพียงให้ใช้เท่านั้น ไม่ได้มอบลิขสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อ
- ผู้ใช้ไม่สามารถทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ ยกเว้นกรณีการทำสำเนาเพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการบำรุงรักษาหรือป้องกันการสูญหาย และจะใช้สำเนาที่ทำสำรองไว้ (backup copy) ได้เฉพาะกรณีที่โปรแกรมต้นฉบับสูญหาย หรือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้เท่านั้น
- ไม่อนุญาตให้ดัดแปลงหรือต่อยอด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- ไม่สามารถศึกษาหรือทำวิศวกรรมย้อนกลับได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาก เจ้าของลิขสิทธิ์
- เว็บไซต์ที่แนะนำที่แนะนำการค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ คือ www.soft14.com และ www.tucows.com เป็นต้น
2. โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบทดลองใช้ (Shareware Software หรือ Trailware)
โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบทดลองใช้ หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลิขสิทธิ์ โดยสาธารณชนสามารถนำไปทดลองใช้ได้ฟรี ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าหากต้องการใช้ต่อไปหลังจากครบกำหนดระยะเวลาทดลองใช้ ผู้ใช้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้
ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลธรรมดา เลือกทำธุรกิจซอฟต์แวร์ประเภทนี้ เนื่องจากต้องการขายตรงต่อผู้ใช้ การซื้อซอฟต์แวร์ประเภทนี้จึงถูกกว่าการซื้อซอฟต์แวร์โดยผ่านร้านค้า
ลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบทดลองใช้ โดยส่วนใหญ่ มีดังนี้
- ในอดีต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะทำงานบน Dos แต่ปัจจุบันโดยส่วนใหญ่จะทำงานได้บน Microsoft window
- โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ โดยส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำงานได้บน Macintosh และ Unix
- ผู้ใช้สามารถค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้จาก การดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ต หรือบางครั้งอาจพบได้จากการแถมมาจากหนังสือนิตยาสารต่างๆ เป็นต้น
- ไม่สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- โดยทั่วไปไม่มีการเปิดเผยซอร์โค้ด
- ไม่สามารถดัดแปลงหรือพัฒนาต่อยอดได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- ผู้ใช้ไม่สามารถทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ ยกเว้นกรณีการทำสำเนาเพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการบำรุงรักษาหรือป้องกันการสูญหาย และจะใช้สำเนาที่ทำสำรองไว้ (backup copy) ได้เฉพาะกรณีที่โปรแกรมต้นฉบับสูญหาย หรือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้เท่านั้น
- ผู้ใช้สามารถทำซ้ำและแจกจ่ายแก่ผู้อื่นต่อไปได้ โดยผู้ได้รับสามารถทดลองใช้และหากตัดสินใจที่จะใช้ซอฟต์แวร์นั้นต่อ จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์
- ผู้ใช้ไม่สามารถขายหรือแจกจ่ายเพื่อแสวงหากำไร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- ในบางครั้งผู้ใช้สามารถต่อรองราคาค่าธรรมเนียมการใช้ (licensing fee) กับผู้เป็น เจ้าของลิขสิทธิ์ได้
- โดยส่วนใหญ่ สัญญาอนุญาตให้ใช้ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะระบุเรื่องการบริการหลัง การขาย รวมถึงได้รับเอกสารเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม และยังมีการอัพเกรด (upgrade) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ภายหลังด้วย
- website ที่แนะนำการค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ คือ www.shareware.com และ www.download.com เป็นต้น
3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบใช้ได้เสรี(Freeware Software)
โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบใช้ได้เสรี หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ใช้โดย เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่คิดมูลค่า โดยเจ้าของลิขสิทธิ์จะกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตและข้อจำกัดต่างๆ บางประการไว้
ลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบใช้ได้เสรี โดยส่วนใหญ่ มีดังนี้
- ผู้ใช้สามารถค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้จากการดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ต หรือบางครั้งอาจพบได้จากการแถมมาจากหนังสือนิตยาสารต่างๆ รวมทั้งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
- เป็นซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ และมีเงื่อนไขต่างๆที่ถูกกำหนดไว้โดยเจ้าของลิขสิทธิ์
- สามารถทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้เพื่อป้องกันการสูญหายและสามารถจำหน่ายจ่ายแจกได้ ทั้งนี้จะต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
- สามารถดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- สามารถศึกษาและทำวิศวกรรมย้อนกลับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ต้อง ขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- สามารถพัฒนาต่อยอดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ผู้พัฒนาต่อยอดจะต้องยินยอมให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาต่อยอดขึ้นนั้นเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบใช้ได้เสรีเช่นกัน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ กล่าวคือ ไม่สามารถกล่าวอ้างสิทธิในลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการจำหน่ายหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบทดลองใช้
- website ที่แนะนำการค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ คือ www.freeware.com และ www.freeware-guide.com เป็นต้น
4. โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาธารณะ (Public Domain Software)
โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาธารณะ หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ได้สละลิขสิทธิ์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่หมดอายุการคุ้มครอง ซึ่งสาธารณชนสามารถใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
ลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาธารณะ โดยส่วนใหญ่ มีดังนี้
- เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ได้สละลิขสิทธิ์หรือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่หมดอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์
- สามารถทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้เพื่อป้องกันการชำรุดสูญหายและจำหน่าย จ่ายแจกอย่างไม่มีข้อจำกัด
- สามารถดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์นี้ได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของ
ลิขสิทธิ์ก่อน
- สามารถศึกษาและทำวิศวกรรมย้อนกลับได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน
- สามารถพัฒนาต่อยอดได้โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่มีเงื่อนไขในการใช้และ
จำหน่ายจ่ายแจกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการพัฒนาต่อยอดขึ้นมานั้น
คำแนะนำ
ข้อควรพิจารณาว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็น โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาธารณะ หรือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทอื่นๆ ที่มีลิขสิทธิ์ มีดังนี้
- ผู้ใช้ควรสันนิษฐานไว้ก่อนว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทมีลิขสิทธิ์ เว้นแต่มีข้อความหรือสัญลักษณ์ที่กำหนดชัดว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาธารณะ เช่น ข้อความ ที่แสดงว่าเจ้าของได้สละลิขสิทธิ์แล้ว หรือเป็นโปรแกรมที่หมดอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์แล้ว
ทั้งนี้ กรณีที่ไม่มีสัญลักษณ์© ไม่ได้หมายความว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นไม่มีลิขสิทธิ์ เนื่องจากการคุ้มครองลิขสิทธิ์เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันที ไม่ต้องจดทะเบียนและแสดงเครื่องหมาย © หรือสัญลักษณ์ใดๆ
- ควรอ่านเอกสารข้อกำหนดและพิจารณาหีบห่อซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาอนุญาต วิธีการใช้ และข้อจำกัดสิทธิต่างๆ ให้ละเอียด
- website ที่แนะนำการค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ คือ www.aixpdslib.seas. ucla.edu www.awug.org/library/software.html และ www.ibiblio.org/jmaynard เป็นต้น
5. โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบรหัสเปิด (Open-source Software)
โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบรหัสเปิด หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเปิดเผยรหัสต้นฉบับหรือซอร์สโค้ด (Source Code) ภายใต้เงื่อนไขซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถทำการศึกษา เปลี่ยนแปลงแก้ไข และพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมทั้งจำหน่ายจ่ายแจกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้พัฒนาต่อยอดนั้นได้
ลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบรหัสเปิด โดยส่วนใหญ่ มีดังนี้
- สามารถขายและจำหน่ายจ่ายแจกซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้
- ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จะเปิดเผยซอร์สโค้ดไปพร้อมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในกรณีไม่มีการเปิดเผยซอร์สโค้ดพร้อมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในทางปฏิบัติผู้เป็นเจ้าของจะ เผยแพร่ซอร์สโค้ดทางสื่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม
- ผู้ใช้สามารถพัฒนาต่อยอดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต เมื่อพัฒนาต่อยอดแล้ว จะต้องระบุที่มาของโปรแกรมคอมพิวเตอร์เดิมที่ได้ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้น
- เมื่อพัฒนาต่อยอดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทนี้แล้ว ผู้พัฒนาจะต้องใช้ชื่อโปรแกรมใหม่
- สัญญาอนุญาตจะต้องไม่มีลักษณะกีดกันบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใด
- สัญญาอนุญาตจะต้องไม่มีลักษณะกีดกันบุคคลใดที่จะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอณ์เพื่อการเฉพาะ เช่น ไม่สามารถกีดกันการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในทางธุรกิจหรือการค้นคว้าวิจัย เป็นต้น
- การจำหน่ายจ่ายแจกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่อๆกันไป ไม่ทำให้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาตในลักษณะของโอเพ่นซอร์สสิ้นสุดลง
- โปรแกรมคอมพิวเตอร์โอเพ่นซอร์ส จะต้องมีความเป็นกลาง ไม่จำกัดว่าสามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการบางประเภทเท่านั้น
- website ที่แนะนำการค้นหาซอฟต์แวร์ประเภทนี้ คือ www.gnu.org www.freebsd.org และ www.searchopensource.com เป็นต้น
6. ซอฟต์แวร์ประเภทอื่นๆ
Shovelware หมายถึง ซอฟต์แวร์ของแถมซึ่งอาจจะเป็น freeware, shareware หรือ public domain software โดยส่วนใหญ่ Shovelware มักจะแถมรวมกับซอฟต์แวร์ประเภทอื่นๆ เพื่อให้สินค่าดูมีมูลค่ามากขึ้น
Postcareware หรือ cardware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งอาจจะเป็น shareware หรือ freeware โดยเจ้าของลิขสิทธิ์กำหนดให้ผู้ใช้ส่งไปรษณียบัตรกลับไปยังผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
Ransomware หรือ Hostageware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งจะทำการเข้ารหัส ใน hard drive ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนได้ เว้นแต่จะจ่ายเงินเพื่อทำการถอนรหัส
Adware หรือ Advertisementware หมายถึง ซอฟต์แวร์ ซึ่งถูกโฆษณาผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ในขณะที่ผู้ใช้กำลังใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ (Pops Up) ทั้งนี้การโฆษณาที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ใช้ใส่คำค้นหา (key word) ลงในโปรแกรมค้นหา (Search engine) และเกิดจากการพิมพ์ชื่อเข้าเว็บไซต์ที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา
Spyware, Parasite software, Scumware, Junkware หรือ Thiefware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งถูกติดตั้ง (install) ลงในเครื่องโดยอัตโนมัติ โดยปราศจากความยินยอมของผู้ใช้และไม่มีการแจ้งผู้ใช้ว่าได้มีการติดตั้งซอฟต์แวร์ชนิดนี้ลงในเครื่องของผู้ใช้แล้วซอฟต์แวร์นี้จะทำการเก็บข้อมูลเว็บไซต์ต่างๆ ที่ผู้ใช้มักจะเข้าเยี่ยมชม ซึ่งซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะใช้เพื่อธุรกิจการค้าต่างๆ เช่น เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ A และ B เพื่อหาซื้อโทรทัศน์ spyware ก็จะทำหน้าที่ส่งโฆษณาขายโทรทัศน์ของบริษัทคู่แข่ง ผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ทันที ในขณะที่ผู้ใช้กำลังใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ (Pops Up)
Beerware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งผู้ใช้จะต้องซื้อเบียร์ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ
Careware, charityware, helpware หรือ goodware หมายถึง ซอฟต์แวร์ถูกจำหน่ายจ่ายแจกเพื่อผลประโยชน์การกุศล ซึ่ง Careware ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้ง Freeware และ Shareware โดยทั่วไป Careware อาจจะถูกแจกจ่ายในลักษณะที่ให้เปล่า โดยเจ้าของลิขสิทธิ์จะขอรับบริจาคเพื่อการกุศล
Guiltware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งอาจเป็น shareware หรือ freeware โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ได้เขียนข้อความบอกกล่าวผู้ใช้ถึงความยากลำบากในการสร้างสรรค์เพื่อจูงใจให้ผู้ต้องการใช้สนใจจะซื้อ
Crippleware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งใช้แสดงตัวอย่างการทำงานของโปรแกรมเพียงบางส่วน เช่น สามารถแสดงผลได้แต่ไม่สามารถทำการบันทึกข้อมูลและสั่งพิมพ์ หรืออาจสั่งพิมพ์ได้แต่ปรากฏเครื่องหมายการค้าขนาดใหญ่ตรงกลางหน้ากระดาษเมื่อสั่งพิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะถูกแจกจ่ายให้ทดลองใช้โดยไม่คิดมูลค่า หากผู้ใช้ประสงค์จะใช้งาน ได้อย่างสมบูรณ์จะต้องจ่ายเงินเสียก่อน
Demoware หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะให้ทดลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีลักษณะจำกัดวันเวลาในการใช้ ใช้งานโปรแกรมได้แต่เพียงบางส่วน เช่น ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้
Donationware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งผู้ใช้จะต้องบริจาคเงินให้แก่นักพัฒนา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จะกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. กำหนดให้ผู้ตัดสินใจใช้ซอฟต์แวร์บริจาคเงินเมื่อต้องการจะใช้ หรือ 2. ผู้ใช้ซอฟต์แวร์สามารถตัดสินใจที่จะบริจาคเงินก็ต่อเมื่อได้ใช้ประโยชน์และได้รับความพึงพอใจ จากโปรแกรมนั้นแล้ว
Freely redistributable software (FRS) หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งทุกคนสามารถจำหน่ายจ่ายแจกได้ ซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกับ freeware และ shareware
Greenware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์กำหนดให้ผู้ใช้โปรแกรมกระทำการช่วยรักษาสภาพแวดล้อม เช่น จะต้องใช้กระดาษรีไซเคิล จะต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และ ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น
Nagware, begware หรือ Annoyware หมายถึง เป็นซอฟต์แวร์ประเภท shareware ซึ่งกำหนดให้ผู้ใช้จ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งการโฆษณาซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะกระทำผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ในขณะที่ผู้ใช้กำลังใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ (Pops Up)
Malware, Malicious software หรือ badware หมายถึง ซอฟต์แวร์ซึ่ง ถูกออกแบบมาเพื่อเข้าแทรกซึมหรือทำลายระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอม ของเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกซอฟต์แวร์ชนิดนี้ว่าไวรัส (Virus)
Snoopware หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับติดตามเฝ้าดูการใช้งานของผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการติดตามเฝ้าดูลูกจ้าง บุตร หรือคู่สมรสเกี่ยวกับ พฤติกรรมต่างๆ โดย Snoopware สามารถบันทึกการกดพิมพ์แป้นคีบอร์ด แอบถ่ายรูป และแอบดักฟัง เป็นต้นมาจาก(www.mjubi.mju.ac.th/ubinew/ipm/manual_licenses.doc)
๔.ให้นักเรียนเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่สถานศึกษาต้องจ่ายค่าลิขสิทธ์ของซอฟต์แวร์ต่างๆที่ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งนักเรียนเห็นด้วยหรือไม่
ตอบ เห็นด้วยเพราะการคิด การทำซอฟต์แวร์แต่ล่ะครั้งจะต้องใช้เวลามาก ถ้าเรานำซอฟต์แวร์มาใช้โดยที่ผู้จัดทำไม่ได้สิ่งตอบแทนผู้ทำซอฟต์แวร์ก็ไม่มีกำลังใจที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ให้มีความพัฒนามากๆขึ้นไป ซึ่งการจ่ายค่าลิขสิทธ์ในสถาบันการศึกษาก็เป็นการจ่ายค่าแรงให้ผู้ทำมีกำลังใจที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ต่อๆไป
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
พรรณไม้พฤกษศาสตร์โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 เมตร ลำต้นสีขาวตรงและแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณปลายยอด กิ่งก้านเปราะและหักง่าย ผิวเปลือกของลำต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล
ใบ ใบรวมใบย่อยออกเรียงแบบสลับเป็น 2 แถว หรือใบย่อยออกเรียงกันเป็นคู่ๆ แต่ละก้านมีใบย่อย 20-30 คู่ ใบย่อยรูปหอก หรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ริมขอบใบเรียบ ใบกว้าง 1.5-3.5 ซม. ยาว 2.5-7.5 ซม.
ดอก สีแดงออกเป็นช่อและออกตามกิ่งแก่ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกัน ดอกตัวผู้เกิดที่ปลายช่อไม่มีกลีบดอก กลีบเลี้ยงมี 6 กลีบ
ผล ผลรูปร่างกลมแบนหรือเป็นเฟืองมนๆ ออกเป็นช่อตามกิ่ง ผลมี 3 พู ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่เปลี่ยนเป็น สีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง ผลรสออกหวานหรือเปรี้ยว ผลหลุดจากขั้วง่าย เมล็ดเดี่ยวขนาดเล็กเปลือกแข็งหรือรูปร่างกลม เห็นเป็นร่องสีน้ำตาลอ่อน การปลูก: มะยมเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีทั้งที่แดดจัด หรือในที่ร่มรำไร ปลูกขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอเหมาะ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ประโยชน์
สรรพคุณทางยา:
ราก รสจืด สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน ช่วยซับน้ำเหลืองให้แห้ง แก้ประดง ดับพิษเสมหะ
เปลือกต้น รสจืด สรรพคุณแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ และแก้เม็ดผดผื่นคัน
ใบ รสจืดมัน ปรุงเป็นส่วนประของยาเขียว สรรพคุณแก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมียและใบมะเฟืองอาบแก้คัน ไข้หัด เหือด และสุกใส
ดอก ดอกสดใช้ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคในตา ชำระล้างในตา
ผล รสเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต และระบายท้อง การปรุงอาหาร :
ยอดอ่อน ใบอ่อน รับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริก ส้มตำ นำมาชุบแป้งทอดรับประทานร่วม กับขนมจีน นำมาแกงเลียง
ผลแก่ นำมาแกงคั่ว ปรุงเป็นส้มตำ
จัดทำโดย
นาย นิธิกร จันทร์หัวโทน ชั้น ม.4/1 เลขที่ 3
นางสาว ฐาปนีย์ ศรีสุทโธ ชั้น ม.4/1 เลขที่ 17
นางสาวปริยาภัทร ปักอินทรีย์ ชั้น ม.4/1 เลขที่ 21